วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เศรษฐีรีไทร์ 4 เด้ง


ทำประกันลดหย่อนภาษี 

ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2557

ใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ปี 2557 ได้เลย



ดูรายละเอียดได้ที่ http://cyber.thailife.com/01253940/สินค้าและบริการ/128






Promotion ไทยประกันชีวิต

วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ไทยประกันชีวิต คืนความสุขให้ประชาชน


ไทยประกันชีวิตเปิดตัวมูลนิธิ “หนึ่งคนให้ หลายคนรับ” ตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ทั้งมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเม็ดเลือดในเด็ก และตาต้อกระจก พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “Life”


วันที่ 9 ตุลาคม 2557
         นางสาวภาสินี ปรีชาธนาพล ผู้อำนวยการฝ่าย กลุ่มองค์กรสัมพันธ์ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ไทยประกันชีวิตดำเนินกิจกรรมที่มุ่งสร้างความรับผิดชอบต่อสังคม หรือ Corporate Social Responsibility : CSR มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ภายใต้โครงการหนึ่งคนให้...หลายคนรับ กับไทยประกันชีวิต ซึ่งถือเป็น Signature CSR ของบริษัทฯ โดยเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งแรก ที่จัดทำแผนแม่บทความรับผิดชอบต่อสังคมเชิงกลยุทธ์ โดยแบ่งยุทธศาสตร์การดำเนินการออกเป็น 3 ด้าน คือ ด้านการให้ (Giving) ด้านการดูแล (Caring) และด้านการสร้างแรงบันดาลใจ (Inspiring) โดยมุ่งปลูกฝังให้บุคลากรของบริษัทฯ มีจิตสำนึกของความเป็นผู้ให้ ผ่านการเป็นพนักงานจิตอาสาและเพื่อผลักดันให้การบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ออกสู่ประชาชนในวงกว้าง พร้อมผลักดันให้บุคคลภายนอก ได้มีส่วนร่วมเป็นผู้ให้และมีจิตอาสา บริษัทฯ จึงได้จัดตั้ง “มูลนิธิหนึ่งคนให้ หลายคนรับ” หรือ One for Lives Foundation ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบำเพ็ญทานในกิจการสาธารณประโยชน์ต่างๆ โดยไม่ได้ค้ากำไร รวมถึงบรรเทาทุกข์ สงเคราะห์ชุมชน ตลอดจนส่งเสริมการศึกษา การวิจัยค้นคว้าของเยาวชน รวมถึงอนุเคราะห์และช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส “ในเบื้องต้นมูลนิธิหนึ่งคนให้ หลายคนรับ ได้จัดตั้งกองทุนสำหรับผู้ด้อยโอกาส 3 กองทุน คือ กองทุนเพื่อผู้ป่วยโรคมะเร็งในเด็ก เพื่อรักษาผู้ป่วยเด็กที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว กองทุนเพื่อผู้ป่วยมะเร็งสตรี เพื่อป้องกันและรักษาโรคมะเร็งปากมดลูก และกองทุนเพื่อผู้ป่วยสูงวัย เพื่อผ่าตัดตาต้อกระจกให้แก่ผู้สูงอายุ” นางสาวภาสินีกล่าว การดำเนินงานของมูลนิธิฯ ได้กำหนดเป็น Roadmap ขึ้น เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 เฟสประกอบด้วย เฟสแรก เป็นการเปิดตัวมูลนิธิฯ ภายในองค์กร เพื่อประชาสัมพันธ์และเชิญชวนให้บุคลากรของไทยประกันชีวิต ไม่ว่าจะเป็นพนักงานสำนักงานใหญ่ สาขา และฝ่ายขาย ร่วมบริจาคสมทบกองทุน ผ่านการใช้สื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ ทั้งสื่อOnline และ Offline อาทิ Standee โปสเตอร์ SMS เว็บไซต์ เป็นต้น
ส่วนในเฟสที่ 2 เพื่อเพิ่มความสมบูรณ์ของมูลนิธิฯ จะขยายการดำเนินการออกสู่ภายนอกมากขึ้น โดยยังคงเน้นการใช้สื่อประชาสัมพันธ์ทั้งสื่อ Online และ Offline เช่นเดียวกัน เพื่อสร้างการรับรู้และเพิ่มการบริจาคเงินสมทบกองทุน และเฟสสุดท้าย คือการจัดเป็นแคมเปญเพื่อต่อยอดการสื่อสาร ตอกย้ำให้เกิดรับรู้เพิ่มมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างให้มูลนิธิฯอยู่ได้อย่างยืนยาวนานตลอดไป “สำหรับแนวทางในการระดมทุนมูลนิธิฯจะผลิตสินค้า ภายใต้แบรนด์ “Life” เพื่อให้เป็นเอกลักษณ์ โดยเบื้องต้นได้จัดทำน้ำดื่ม Life เพื่อนำไปช่วยเหลือผ่าตัดตาต้อกระจก ให้แก่ผู้ป่วยสูงอายุที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ จำนวน 72 คน ในวาระครบรอบ 72 ปี ซึ่งที่ผ่านมาได้เริ่มเปิดตัวร่วมกับกิจกรรมต่างๆ สามารถระดมทุนได้ประมาณ 560,000 บาท สอดคล้องกับ Roadmap ที่กำหนดไว้” นางสาวภาสินีกล่าว

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557

การสร้างความมันคงทางการเงิน

 ประกันชีวิต,ไทยประกันชีวิต

ชื่อหรือไม่... คำตอบของคนส่วนใหญ่เกือบร้อยทั้งร้อย จะนึกถึงภาพคนที่มี “รายได้สูงๆ” “มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย” หรือ “คนที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย” เป็นลำดับต้นๆ เพราะรายได้และทรัพย์สินเป็นเหมือนสิ่งที่แสดงฐานะทางสังคม สื่อให้เห็นถึงความมั่งคั่งร่ำรวยของบุคคล
            จึงไม่ใช่เรื่องแปลก... ที่ทุกวันนี้ เราเห็นผู้คนวิ่งวุ่นอยู่กับการทำงานอย่างหนัก เพื่อหาเงินมาจับจ่ายใช้สอยซื้อข้าวของ เครื่องใช้ต่างๆ ไว้สร้างความสุขความสะดวกสบายให้ตนเอง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร หากคนๆ นั้นรู้จักกินอยู่อย่างพอดี ไม่พยายามก่อหนี้ และมีเงินเก็บออมพอประมาณ แต่สำหรับคนที่ชอบกินอยู่เกินฐานะ ใช้จ่ายมากกว่าที่หาได้ ดิ้นรนกู้หนี้ยืมสิน   ผ่อนทุกอย่างในชีวิตเท่าที่จะผ่อนได้ คนเหล่านี้แม้จะมีเฟอร์นิเจอร์รอบกาย แต่หนี้ก็รอบตัว อย่างนี้เราถือว่ายังไม่มั่งคั่ง    เพราะยังดิ้นรนผ่อนเดือนชนเดือนอยู่
   ความมั่งคั่ง” คือ เงินที่เหลืออยู่ หลังจากที่นำทรัพย์สินทั้งหมดของคุณ ลบด้วยหนี้สินทั้งหมดของคุณ 
สรุปง่ายๆ เป็นสมการได้ดังนี้  >>> อ่านต่อ

By
http://www.thailifeclub.com
http://cyber.thailife.com/01253940

วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2557

ขอเป็นที่1ในใจคนไทย บริษัท ไทยประกันชีวีต จำกัด

ขอเป็นที่1ในใจคนไทย
“ไชย ไชยวรรณ” ปรับทัพ “ไทยประกันชีวิต” ครั้งใหญ่เปลี่ยนวิสัยทัศน์–รีแบรนด์ ยกองค์กรขึ้นเคียงข้างสังคมไทย ประกาศไม่ ต้องการทำกำไรสูงสุด ขอแค่เป็นบริษัทประกันชีวิตเบอร์ 1 ในหัวใจคนไทยเสมอเมื่อคิดถึงความรัก และการสร้างหลักประกันในชีวิต
นายไชย ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ไทยประกันชีวิตได้ประกาศปรับเปลี่ยนวิสัยทัศน์ และพันธกิจในการดำเนินธุรกิจใหม่ เพื่อก้าวสู่การเป็น People Business คือ ธุรกิจที่ให้ ความสำคัญกับสังคม และผู้คนโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นทางตรง หรือทางอ้อมภายใต้สโลแกนที่ว่า เคียงข้างทุกชีวิตทั้งของผู้ที่เป็นลูกค้าบริษัท และทุกชีวิตของคนไทยในสังคม
“สิ่งที่ผมทำอยู่เสมอคือปรับเปลี่ยนความเชื่อ และค่านิยมที่ดีให้กับบรรดาตัวแทนกรมธรรม์ประกันชีวิตว่า พวกคุณไม่ได้ขายแค่กรมธรรม์ประกันชีวิต เพราะสิ่งที่สำคัญมากกว่า คือ การขายความไว้วางใจ ขายการดูแล การเอาใจใส่ และความเอื้ออาทร สิ่งนี้จะต้องเป็นจุดยืนของไทยประกันชีวิตตลอดเวลา และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้เราเป็นเสมือนเพื่อนที่รู้ใจ พร้อมยืนอยู่เคียงข้างคุณ และทำทุกอย่างอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อให้ทุกช่วงชีวิตของลูกค้าเป็นไปอย่างมั่นคง”
กรรมการผู้จัดการใหญ่ไทยประกันชีวิต กล่าวด้วยว่า หัวใจสำคัญของการดูแลลูกค้าให้ดีก็คือ ต้องมีความเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ขณะเดียวกันก็ต้องไม่หยุดที่จะบุกเบิก คิดค้น หาคำตอบใหม่ๆในเรื่องการประกันชีวิตเพื่อตอบสนองในทุกสถานการณ์ในแต่ละช่วงชีวิตที่เปลี่ยนไป ภายใต้เป้าหมายให้บริษัทไทยประกันชีวิต ซึ่งขณะนี้มีอายุ 72 ปีแล้ว ให้มีอายุยืนยาวไปจนถึง 100 ปีให้ได้
สำหรับวิสัยทัศน์ใหม่ บริษัทจะมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับคนเป็นหลัก โดยให้ความสำคัญทั้งคนภายใน และผู้คนในสังคมด้วยการพัฒนา และผลักดันให้บุคลากร สำนักงานใหญ่ และสาขา ให้เป็นมากกว่าพนักงานบริษัทประกันชีวิต แต่ต้องคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก รวมถึงให้ความสำคัญกับการทำความดีด้วยการส่งเสริมให้บุคลากรมุ่งทำประโยชน์เพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง “นับจากนี้ไป ไทยประกันชีวิตจะต้องเป็นองค์กรที่อยู่เคียงข้างสังคมไทย และยืนอยู่ได้อย่างมั่นคงยั่งยืน ผลของการทำธุรกิจไม่ได้หวังให้เกิดกำไรสูงสุด แต่ธุรกิจหรือองค์กรของเราต้องรู้จักเท่าทันกระแสโลก แต่ไม่ใช่ไหลบ่าตามกระแสไป”
บุคลากรฝ่ายขาย ต้องพัฒนาจากการเป็น Life Planner คือ ผู้วางแผนดูแลชีวิต สู่การเป็น Life Partner เสมือนเป็นคู่ชีวิต เป็นเพื่อนคู่คิดในทุกสถานการณ์ สำหรับผู้เอาประกันหรือคนในสังคมด้วยการเป็นคนเก่ง เป็นผู้รอบรู้ และรู้รอบ เพื่อเป็นผู้ตอบคำถามในทุกคำตอบให้แก่การประกันชีวิต ขณะเดียวกันต้องเป็นคนดี มีคุณธรรม จริยธรรม มโนธรรม และผู้ให้ บุคลากรของไทยประกันชีวิตจึงต้องเรียนรู้ และไม่หยุดคิดค้น เพื่อให้ทันทุกสถานการณ์ และสามารถเติมเต็มความมั่นคงให้กับลูกค้าและสังคมได้
สำหรับโลโก้ใหม่ “ไทยประกันชีวิต” จะมีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อให้ผู้คนจดจำได้ง่าย พร้อมปรับลดโทนสีจากสีน้ำเงินเข้ม เป็น สีเซลูเลียน บลู หรือสีฟ้าน้ำทะเล เพื่อให้แบรนด์ดูทันสมัย มีชีวิตชีวา มีความเป็นมิตร และเพิ่มพลังแห่งความคิดสู่เป้าหมายเดียวกันภายใต้รูปทรงโลโก้ของสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ซึ่งแสดงถึงการพุ่งไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่นอย่างมีทิศทาง พร้อมที่เดินเคียงคู่ทุกชีวิตสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนในอนาคต
ทิศทางการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ จึงต้องสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ใหม่ และการรีแบรนด์ตราสัญลักษณ์ใหม่ด้วย และสำหรับการรองรับการแข่งขันที่รุนแรงในปัจจุบัน บริษัทจึงต้องมีนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องทบทวนแผนหรือรูปแบบการประกันชีวิตใหม่ หากแบบประกันใดไม่ตรงตามความต้องการของลูกค้า ก็ต้องปรับเปลี่ยน รวมถึงปรับปรุงเงื่อนไขต่างๆให้สอดรับกับสภาพแวดล้อมต่างๆด้วย
นายไชยเปิดเผยด้วยว่า ขณะนี้ไทยประกันชีวิตได้พันธมิตรใหม่อย่าง เมจิ ยาซึดะ ไลฟ์ อินชัวรันส์ จำกัด บริษัทประกันชีวิตใหญ่อันดับ 2 ของญี่ปุ่น ซึ่งจะเข้ามาถือหุ้นในไทยประกันชีวิตเป็นสัดส่วน 15% เพื่อเข้ามาดูแลงานด้านการบริหารความเสี่ยง “ญี่ปุ่นมีประสบการณ์เรื่องนี้ดีเพราะเคยประสบปัญหาเรื่องเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่มาแล้ว และบริษัทประกันในญี่ปุ่นก็ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมา เราอยากได้ความรู้ในเรื่องการบริหารความเสี่ยงต่างๆที่เป็นหัวใจสำคัญของการประกันชีวิต”
ที่สำคัญ ญี่ปุ่นได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ดังนั้นจึงต้องการให้พันธมิตรแนะนำลูกค้ารายบุคคลให้กับไทยประกันชีวิตด้วย ขณะที่การลงทุนในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เป็นจำนวนมากของญี่ปุ่น จะต่อยอดให้ไทยประกันชีวิตดำเนินธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้านใน AEC ได้ดีกว่าไปทำธุรกิจเอง และพันธมิตรเองก็จะได้ประโยชน์จากฐานลูกค้าในกลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน
“หลังจากปรับองค์กรและรีแบรนด์แล้ว สิ่งที่ผมอยากเห็นคือ การเป็นบริษัทประกันชีวิตที่อยู่ในหัวใจคนไทยเสมอ และเป็นเบอร์ 1 ในทุกๆโอกาสที่เราต่างก็มีความรักให้แก่กัน และเห็นคุณค่าของชีวิตกันและกัน แน่นอนว่า มันไม่ใช่เรื่องของการต้องมีส่วนแบ่งในตลาดสูงสุด หรือมีกำไรสูงสุด” นายไชย กล่าวทิ้งท้าย.

By
http://www.thailifeclub.com
http://cyber.thailife.com/01253940

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557

บทเรียนจากนกอินทรี

   นกอินทรีเป็นสัตว์ที่ถูกสร้างโดยพระเจ้า เป็นนกที่สง่างามเหนือบรรดานกทั้งหลาย โดยทั่วไปแล้วนกอินทรีที่โตเต็มที่สูงถึง 90 เซนติเมตร และเมื่อกางปีกอาจจะยาวถึง 2 เมตรเลยทีเดียว มันจะสร้างรังอยู่ที่หน้าผาหรือต้นไม้สูง รังของมันจะใหญ่มากขนาดที่มนุษย์สามารถเข้าไปนอนหลับอย่างสบายได้เลย โดยรังของมันอาจมีน้ำหนักถึง 700 กิโลกรัม นกอินทรีเป็นนกที่มีชีวิตยืนยาวที่สุดในบรรดาสัตว์ปีก มันสามารถมีชีวิตได้นานถึง 70 ปี แต่ก่อนที่จะอยู่ได้นานถึงปานนั้นได้ นกอินทรีจะต้องมีการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของมัน เมื่ออายุได้ 40ปี ตอนนั้นกรงเล็บของมันที่แข็งแกร่ง และยืดหยุ่นของมันจะไม่สามารถจับสัตว์เป็นอาหารได้อีก ทำให้ร่างกายของมันอ่อนแอเกินกว่าจะบินขึ้น และหาอาหารอย่างเข้มแข็งได้อีก ส่วนจะงอยปากที่แหลมคมเริ่มโค้งงอ กรงเล็บเริ่มใช้การไม่ค่อยได้ ปีกที่หนาและหนัก ขนที่ยาวรุงรังจะไปรวมที่อกของมัน ทำให้มันบินได้ลำบากมากขึ้น และเมื่อนั้นมันมีทางออกอยู่ 2 ทางคือ 1.ตายไปซะ 2.จะตัดสินใจที่จะอยู่ต่อไป แต่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดอย่างสุด ๆ กับขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงชีวิต ซึ่งจะเป็นระยะเวลายาวนานถึง 150 วัน

ขั้นตอนที่มันตัดสินใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป มันจะบินต่อไปบนยอดภูเขาสูงและอยู่ที่รังของมัน มันจะต้องใช้จะงอยปากของมันที่โค้งทื่อจิกเตะกับก้อนหิน และกรงเล็บกระแทกไปที่ก้อนหินด้วย ครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งจะงอยปากมีเลือดไหล และหลุดออกมา หลังจากนั้นมันจะรอให้จะงอยปากอันใหม่งอกขึ้นมา ทีนี้ถึงคราวของกรงเล็บก็จะงอกขึ้นมาใหม่ต่อจากจะงอยปาก หลังจากนั้นมันจะเริ่มใช้จะงอยปากใหม่จิกถอนขนที่ดกหนาออกทิ้งเสีย เป็นการผลัดขนใหม่ทั้งหมด หลังจากนั้น 150 วันผ่านไป ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงก็จะเสร็จสมบูรณ์ นกอินทรีก็จะบินสูงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง พร้อมกับร้องเสียงดังก้องสะท้านฟ้า คล้ายดังเป็นการประกาศก้องว่า ข้ากำเนิดใหม่แล้ว และจะมีชีวิตที่ยืนยาวและเข็มแข็งอีกต่อไปได้

พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้เปรียบเทียบชีวิตของมนุษย์เรา ยามเมื่ออ่อนเปลี้ย ท้อแท้ หมดหวัง กับการดำเนินชีวิตในโลกนี้ว่า "พระเจ้าทรงประทานกำลังแก่คนที่อ่อนเปลี้ย และแก่ผู้ไม่มีกำลัง พระองค์ทรงเพิ่มแรง แม้คนหนุ่ม ๆ จะอ่อนเปลี้ย และเหน็ดเหนื่อย และชายฉกรรจ์จะล้มลงทีเดียว แต่เขาทั้งหลายผู้รอคอย พระเจ้าจะเสริมเรี่ยวแรงใหม่ เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี เขาจะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย เขาจะเดินและไม่อ่อนเปลี้ย" บทเรียนจากนกอินทรี ทำให้เราเรียนรู้ว่า
1.เมื่อเราอยู่ในภาวะอ่อนแอเกินกว่าที่จะต่อสู้กับปัญหาใด ๆ ได้ อย่าเพิ่งหมดหวัง ท้อแท้ สิ้นหวัง หรือเก็บความขมขื่นไว้ พระเจ้าทรงเตรียมขบวนการเปลี่ยนแปลงเพื่อเราจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ไว้ให้กับเราแล้ว

2.จงเปลี่ยนจะงอยปากและกรงเล็บเสียใหม่ สำหรับนกอินทรีจะงอยปากและกรงเล็บเป็นอาวุธและเครื่องมือในการหาเหยื่อ และกินเหยื่อ นั่นหมายความว่า มันตอบสนองความต้องการของตัวมันเอง หากเปรียบจะงอยปากและกรงเล็บของนกอินทรีกับตัวเรา ก็คงเป็นเหมือนความต้องการของตัณหา ความอยากของเราที่ไม่ดีไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า มีแล้วอาจจะทำให้เราเสียคนในอนาคตได้ เพราะพระเจ้าทรงรู้ล่วงหน้าสำหรับอนาคตของทุกคน คำว่าตัณหา ตามความเข้าใจของคริสเตียนแล้วเป็นเนื้อหนัง ที่พระคำของพระเจ้าได้กล่าวไว้ว่า "การงานของเนื้อหนังนั้นเห็นได้ชัดคือ การล่วงประเวณี การโสโครก การลามก การถือวิทยาคม การเป็นศัตรูกัน การริษยากัน การเมาเหล้าและการเล่นเป็นพาลเกเร" ถ้าหากเราเต็มใจจะถอดจะงอยและกรงเล็บเสีย ชีวิตของเราก็เปลี่ยนใหม่ จะวิ่งอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย และจะเดินอย่างไม่อ่อนเปลี้ย

3.ผลัดขนใหม่ทั้งหมด สำหรับนกอินทรี ขนที่ดกหนาที่หน้าอกทำให้มันเหนื่อยแรงเป็นภาระ เป็นตัวถ่วง และกินแรงในการบิน ทำให้มันอ่อนแอ ไม่ว่องไวเหมือนเดิมในการล่าเหยื่อ และการดำรงชีวิตอยู่ คุณผู้ฟังคะหากเราไม่ต้องการที่จะอ่อนแอเกินกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ได้ เราต้องยอมถอดสิ่งที่เป็นตัวถ่วงออกไปจากชีวิตของเราเสีย เหมือนถอดเสื้อผ้า อะไรบ้างที่เราต้องถอด พระคริสตธรรมคัมภีร์กล่าวไว้เช่นนี้ "แต่บัดนี้สิ่งสารพัดเหล่านี้ท่านจงเปลื้องทิ้งเสีย คือ ความโกรธ ความขัดเคือง การคิดปองร้าย การพูดใส่ร้าย คำพูดหยาบโลน อย่าพูดมุสาต่อกัน เพราะว่าท่านได้ปลดวิสัยมนุษย์เก่ากับการปฏิบัติของมนุษย์นั้นเสียแล้ว และได้สวมวิสัยมนุษย์ใหม่ที่กำลังสร้างขึ้นใหม่ ตามพระฉายของพระองค์ผู้ทรงสร้างให้รู้จักกับพระองค์"

By
http://www.thailifeclub.com
http://cyber.thailife.com/01253940

ชีวิต..กับ..การเลี้ยงลูกแบบ..นกอินทรี

        หลายคนคงรู้จักและได้ยินชื่อ..นกอินทรี...นกขนาดใหญ่..ที่มีสายตาที่เฉียบคม..มองได้ไกล..เหมือนกล้องสอ่งทางไกล..แม้บินอยู่บนที่สูง..ก็มองเห็นเหยื่อตัวเล็กๆ..บนพื้นล่างได้ และบินโฉบลงมาจับกินได้อย่างง่ายดาย..และรวดเร็ว ในนิทานเราก็เคยได้ยิน นกบินลงมาจับทารกน้อยไป..

       หลายประเทศใหญ่ๆ..มักใช้นกอินทรี..เป็นสัญลักษณ์..อินทรีย์..แปลว่า..ใหญ่..นกอินทรีก็คือนกขนาดใหญ่...ร่างกายของเรา..มี อินทรีย์ ๖ อยู่ในร่างกาย ซึ่งเป็นใหญ่เฉพาะด้าน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้ง ๖ อย่างต่างเป็นใหญ่ในแต่ละด้าน ตา เป็นใหญ่ ทางการมองเห็น , หูเป็นใหญ่..ทางการได้ยิน...เรียงลำดับไปอย่างนี้

นกอินทรี..มีวิธีการเลี้ยงลูก..ที่แปลก..และน่านำมาประยุกต์ใช้กับการเลี้ยงลูกได้

ก่อนวางไข่...แม่นกพ่อนก..จะช่วยกันสร้างรัง..บนชะง่อนผาที่สูงชัน..ยากที่จะสิ่งรบกวนได้ ปลอดภัยจากสัตว์ร้ายอื่นๆ รวมทั้งมนุษย์ด้วย

ชั้นที่ ๑ จะเป็นก้อนหิน ก้อนใหญ่ๆ วางล้อมกรอบเป็นวงขนาดพอตัว

ชั้นที่ ๒ จะเป็นท่อนไม้ท่อนโตๆ วางไขว้กันไปมา..ให้แข็งแรง

ชั้นที่ ๓ จะเป็นหนามขนาดใหญ่..วางพลาดระหว่าง.ท่อนไม้ ซ้อนไปมา

ชั้นที่ ๔ จะเป็นใบไม้วางหนาๆ..เพื่อป้องกันหนามที่แหลมคม และเป็นพื้นนอนได้

ชั้นที่ ๕ แม่นกจะจิกขนอ่อนที่อกของตน..เพื่อให้เกิดที่นอนนุ่นๆสำหรับลูกอ่อน

พอสร้างรังครบทั้ง ๕ ขั้นตอนแล้ว..แม่นกอินทรี ก็ได้เวลาวางไข่ ราวๆ ๓-๕ ฟอง และกกไข่เป็นเวลาพอสมควร..จนไข่ฟักออกมาเป็น..ลูกนกอินทรี..ตัวเล็กๆ..เสียงเจื้อยแจ้ว..น่ารักๆ

พ่อนก..แม่นก..ช่วยกันหาอาหารมาป้อนลูกน้อย..จนเติบโต..พอที่จะช่วยตัวเเองได้บ้างแล้ว



ขั้นตอนสำคัญ..ของการฝึกลูกนกอินทรี..ก็มาถึง..

ขั้นที่ ๑ แม่นกเริ่มจิกเอาขนนุ่มๆ..ออกจากรัง..ลูกๆเริ่มลำบาก..นอนไม่สบายเหมือนเดิม แรกๆก็ร้องลั่น..งอแง..แต่แม่นกก็อดทน..จนลูกเริ่มปรับตัวได้

ขั้นที่ ๒ เอาใบไม้ออกจากรังจนหมด...คราวนี้แย่แล้ว...เหลือแต่หนาม..ลูกนกจะนอนได้อย่างไร..ต้องพยายาม..นอนบนหนามให้ได้..จนต่อมา..ลูกนกเริ่มสนุก..กับการนอนบนหนาม..พลิกซ้าย ขวา ก็ต้องโดนหนามทิ่ม..ต้องมีสติเสมอ

ขั้นที่ ๓ เอาหนามออก..คราวนี้ ก้ามเนื้อขา ของลูกนกเริ่มแข็งแรง สามารถเกาะกิ่งไม้ หลับนกได้..สบายๆ แม่นกฝึกจนลูกๆ แข็งแรง เกาะกิ่งไม้ได้อย่างมั่นคงปลอดภัย

ขั้นที่ ๔ เอากิ่งไม้ออก..เหลือเฉพาะรากฐานที่เป็นก้อนหิน..คราวนี้..นอนบนกองหินได้.พื้นแข็งๆ..ลำบาก ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดอีกแล้ว จนลูกนกอดทนได้..ลูกทุกตัวมีความพร้อมที่จะฝึกบินได้แล้ว

ขั้นที่ ๕ ฝึกบิน....คราวนี้ สนุกครับ

....พอแค่นี้ก่อนครับ..พักสักครู่..จะมาเล่าต่อ ตอนที่นกอินทรี ฝึกลูกนกให้บิน สนุกมากๆ ไม่น่าเชื่อว่า แม้แต่นก ยังสมารถฝึกลูกนกได้ดีขนาดนี้..โปรดติดตามครับ

เล่าต่อครับ..ได้เวลาที่นกอินทรี ฝึกลูกให้บิน แม่นก จะคาบลูกนก ทีละตัว บินขึ้นไปบนอากาศ ....ท้องฟ้าที่เวิ้งว้าง...ลมเย็นๆ..ลูกนกได้เห็นมุมมองของโลกอีกมุมหนึ่ง..ที่กว้างไกล บินไปทั่วๆรอบบริเวณ อาณาจักร ของนก แล้วนำกลับมาที่รัง ผลัดเปลี่ยนลูกนกตัวอื่นๆ เวียนจนครบทุกตัว

วันต่อๆมา คราวนี้ไม่คาบแล้ว....แม่นกแหย่ปีกลงไปที่รัง...ลูกนกตะกายขึ้นมาบนปีกของแม่....แล้วแม่นก..ก็พาบินขึ้นสู่ท้องฟ้า...คราวนี้ลูกนก..เหมือนนั่งเตรื่องบินจัมโบ้...ว๊าว...สนุกอะไรแบบนี้...ตาของลูกนกจ้องไปที่ข้างหน้า ดูโลกอันงดงามเบื้องหน้า...วิเศษ.จริงๆแม่...ลูกนกยิ้มอย่างอารมณ์ดี...เอาอีก...เอาอีก...ลูกนกร้องขอ...พอแล้วลูก...ว่าแล้วแม่นกก็...พาลูกนก..กลับมาคืนรัง พาลูกตัวอื่นๆขึ้นไปบ้าง.....โอ้โห...เล่ามาถึงตรงนี้....ชีวิต..ที่แม่นกอินทรีฝึกลูกนกให้บิน..มันสนุกอย่างนี้นี่เอง

ลูกนก...ตื่นเต้นดีใจ..รอคอยเมื่อไหร่ แม่จะกางปีกพาบินอีกบ้าง....

ขั้นตอนสำคัญ

คราวนี้...แม่นก..พาบินทีละตัว...แม่นกบินโบกไปมาอย่างรวดเร็ว...เดี๋ยวขึ้น..เดี๋ยวลง...นึกถึงเครื่อง F 16 ที่บินโฉบ...อย่างรวดเร็ว...อะไรแบบนั้น

แม่นกพาบินขึ้นสูง...สูงขึ้น.จนสุดแรง...จนลูกนก..ใจหวิว..ว่าแล้วไม่ทันตั้งตัว...แม่นกสลัดปีกอย่างแรง...ลูกนกตัวน้อย..ลอยคว้างกลางอากาศ.....ลอยละลิ่วตกลงมา...อย่างรวดเร็ว...

ลูกนกตกใจ...ร้องลั่น...พรางขยับปีกไปมา...เพื่อประคองตัวเอง...แต่ร่างของลูกน้อย..ล่วงหล่นลงพื้นอย่างเร็ว...มิทันขยับปีก...แม่นกบินโฉบ..ลงมารับลูก..ก่อนถึงพื้น..ได้อย่างแม่นยำ..ไม่มีพลาด...ใจหายใจคว่ำ...พาลูกนกกลับมารังอย่างปลอดภัย...

แล้วแม่...ก็ฝึกลูกๆ...แบบนี้ทุกตัว...จนลูก..กางปีก..ร่อนกลางอากาศได้....จนกระทั่งลูกนก...บินไปพร้อมๆแม่ได้....

เล่ามาถึงตรงนี้....ชื่นชม..และอดภูมิใจกับลูกนกไม่ได้..ที่มีพ่อแม่..เลี้ยงลูก...อบรมลูก..ฝึกลูก..ได้เป็นขั้นเป็นตอน..ได้ดีถึงเพียงนี้...จนลูกนก..เติบใหญ่ ปีกกล้า..ขาแข็ง...อย่างที่เราๆเรียกกัน...หากินเองได้

แล้วลูกคนล่ะ...เราทำได้ดีถึงเสี้ยวหนึ่ง..ของนกอินทรี..ฝึกลูกหรือไม่...


By
: http://www.thailifeclub.com
: http://cyber.thailife.com/01253940