วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เศรษฐีรีไทร์ 4 เด้ง


ทำประกันลดหย่อนภาษี 

ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2557

ใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ปี 2557 ได้เลย



ดูรายละเอียดได้ที่ http://cyber.thailife.com/01253940/สินค้าและบริการ/128






Promotion ไทยประกันชีวิต

วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ไทยประกันชีวิต คืนความสุขให้ประชาชน


ไทยประกันชีวิตเปิดตัวมูลนิธิ “หนึ่งคนให้ หลายคนรับ” ตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ทั้งมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเม็ดเลือดในเด็ก และตาต้อกระจก พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “Life”


วันที่ 9 ตุลาคม 2557
         นางสาวภาสินี ปรีชาธนาพล ผู้อำนวยการฝ่าย กลุ่มองค์กรสัมพันธ์ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ไทยประกันชีวิตดำเนินกิจกรรมที่มุ่งสร้างความรับผิดชอบต่อสังคม หรือ Corporate Social Responsibility : CSR มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ภายใต้โครงการหนึ่งคนให้...หลายคนรับ กับไทยประกันชีวิต ซึ่งถือเป็น Signature CSR ของบริษัทฯ โดยเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งแรก ที่จัดทำแผนแม่บทความรับผิดชอบต่อสังคมเชิงกลยุทธ์ โดยแบ่งยุทธศาสตร์การดำเนินการออกเป็น 3 ด้าน คือ ด้านการให้ (Giving) ด้านการดูแล (Caring) และด้านการสร้างแรงบันดาลใจ (Inspiring) โดยมุ่งปลูกฝังให้บุคลากรของบริษัทฯ มีจิตสำนึกของความเป็นผู้ให้ ผ่านการเป็นพนักงานจิตอาสาและเพื่อผลักดันให้การบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ออกสู่ประชาชนในวงกว้าง พร้อมผลักดันให้บุคคลภายนอก ได้มีส่วนร่วมเป็นผู้ให้และมีจิตอาสา บริษัทฯ จึงได้จัดตั้ง “มูลนิธิหนึ่งคนให้ หลายคนรับ” หรือ One for Lives Foundation ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบำเพ็ญทานในกิจการสาธารณประโยชน์ต่างๆ โดยไม่ได้ค้ากำไร รวมถึงบรรเทาทุกข์ สงเคราะห์ชุมชน ตลอดจนส่งเสริมการศึกษา การวิจัยค้นคว้าของเยาวชน รวมถึงอนุเคราะห์และช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส “ในเบื้องต้นมูลนิธิหนึ่งคนให้ หลายคนรับ ได้จัดตั้งกองทุนสำหรับผู้ด้อยโอกาส 3 กองทุน คือ กองทุนเพื่อผู้ป่วยโรคมะเร็งในเด็ก เพื่อรักษาผู้ป่วยเด็กที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว กองทุนเพื่อผู้ป่วยมะเร็งสตรี เพื่อป้องกันและรักษาโรคมะเร็งปากมดลูก และกองทุนเพื่อผู้ป่วยสูงวัย เพื่อผ่าตัดตาต้อกระจกให้แก่ผู้สูงอายุ” นางสาวภาสินีกล่าว การดำเนินงานของมูลนิธิฯ ได้กำหนดเป็น Roadmap ขึ้น เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 เฟสประกอบด้วย เฟสแรก เป็นการเปิดตัวมูลนิธิฯ ภายในองค์กร เพื่อประชาสัมพันธ์และเชิญชวนให้บุคลากรของไทยประกันชีวิต ไม่ว่าจะเป็นพนักงานสำนักงานใหญ่ สาขา และฝ่ายขาย ร่วมบริจาคสมทบกองทุน ผ่านการใช้สื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ ทั้งสื่อOnline และ Offline อาทิ Standee โปสเตอร์ SMS เว็บไซต์ เป็นต้น
ส่วนในเฟสที่ 2 เพื่อเพิ่มความสมบูรณ์ของมูลนิธิฯ จะขยายการดำเนินการออกสู่ภายนอกมากขึ้น โดยยังคงเน้นการใช้สื่อประชาสัมพันธ์ทั้งสื่อ Online และ Offline เช่นเดียวกัน เพื่อสร้างการรับรู้และเพิ่มการบริจาคเงินสมทบกองทุน และเฟสสุดท้าย คือการจัดเป็นแคมเปญเพื่อต่อยอดการสื่อสาร ตอกย้ำให้เกิดรับรู้เพิ่มมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างให้มูลนิธิฯอยู่ได้อย่างยืนยาวนานตลอดไป “สำหรับแนวทางในการระดมทุนมูลนิธิฯจะผลิตสินค้า ภายใต้แบรนด์ “Life” เพื่อให้เป็นเอกลักษณ์ โดยเบื้องต้นได้จัดทำน้ำดื่ม Life เพื่อนำไปช่วยเหลือผ่าตัดตาต้อกระจก ให้แก่ผู้ป่วยสูงอายุที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ จำนวน 72 คน ในวาระครบรอบ 72 ปี ซึ่งที่ผ่านมาได้เริ่มเปิดตัวร่วมกับกิจกรรมต่างๆ สามารถระดมทุนได้ประมาณ 560,000 บาท สอดคล้องกับ Roadmap ที่กำหนดไว้” นางสาวภาสินีกล่าว

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557

การสร้างความมันคงทางการเงิน

 ประกันชีวิต,ไทยประกันชีวิต

ชื่อหรือไม่... คำตอบของคนส่วนใหญ่เกือบร้อยทั้งร้อย จะนึกถึงภาพคนที่มี “รายได้สูงๆ” “มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย” หรือ “คนที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย” เป็นลำดับต้นๆ เพราะรายได้และทรัพย์สินเป็นเหมือนสิ่งที่แสดงฐานะทางสังคม สื่อให้เห็นถึงความมั่งคั่งร่ำรวยของบุคคล
            จึงไม่ใช่เรื่องแปลก... ที่ทุกวันนี้ เราเห็นผู้คนวิ่งวุ่นอยู่กับการทำงานอย่างหนัก เพื่อหาเงินมาจับจ่ายใช้สอยซื้อข้าวของ เครื่องใช้ต่างๆ ไว้สร้างความสุขความสะดวกสบายให้ตนเอง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร หากคนๆ นั้นรู้จักกินอยู่อย่างพอดี ไม่พยายามก่อหนี้ และมีเงินเก็บออมพอประมาณ แต่สำหรับคนที่ชอบกินอยู่เกินฐานะ ใช้จ่ายมากกว่าที่หาได้ ดิ้นรนกู้หนี้ยืมสิน   ผ่อนทุกอย่างในชีวิตเท่าที่จะผ่อนได้ คนเหล่านี้แม้จะมีเฟอร์นิเจอร์รอบกาย แต่หนี้ก็รอบตัว อย่างนี้เราถือว่ายังไม่มั่งคั่ง    เพราะยังดิ้นรนผ่อนเดือนชนเดือนอยู่
   ความมั่งคั่ง” คือ เงินที่เหลืออยู่ หลังจากที่นำทรัพย์สินทั้งหมดของคุณ ลบด้วยหนี้สินทั้งหมดของคุณ 
สรุปง่ายๆ เป็นสมการได้ดังนี้  >>> อ่านต่อ

By
http://www.thailifeclub.com
http://cyber.thailife.com/01253940

วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2557

ขอเป็นที่1ในใจคนไทย บริษัท ไทยประกันชีวีต จำกัด

ขอเป็นที่1ในใจคนไทย
“ไชย ไชยวรรณ” ปรับทัพ “ไทยประกันชีวิต” ครั้งใหญ่เปลี่ยนวิสัยทัศน์–รีแบรนด์ ยกองค์กรขึ้นเคียงข้างสังคมไทย ประกาศไม่ ต้องการทำกำไรสูงสุด ขอแค่เป็นบริษัทประกันชีวิตเบอร์ 1 ในหัวใจคนไทยเสมอเมื่อคิดถึงความรัก และการสร้างหลักประกันในชีวิต
นายไชย ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ไทยประกันชีวิตได้ประกาศปรับเปลี่ยนวิสัยทัศน์ และพันธกิจในการดำเนินธุรกิจใหม่ เพื่อก้าวสู่การเป็น People Business คือ ธุรกิจที่ให้ ความสำคัญกับสังคม และผู้คนโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นทางตรง หรือทางอ้อมภายใต้สโลแกนที่ว่า เคียงข้างทุกชีวิตทั้งของผู้ที่เป็นลูกค้าบริษัท และทุกชีวิตของคนไทยในสังคม
“สิ่งที่ผมทำอยู่เสมอคือปรับเปลี่ยนความเชื่อ และค่านิยมที่ดีให้กับบรรดาตัวแทนกรมธรรม์ประกันชีวิตว่า พวกคุณไม่ได้ขายแค่กรมธรรม์ประกันชีวิต เพราะสิ่งที่สำคัญมากกว่า คือ การขายความไว้วางใจ ขายการดูแล การเอาใจใส่ และความเอื้ออาทร สิ่งนี้จะต้องเป็นจุดยืนของไทยประกันชีวิตตลอดเวลา และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้เราเป็นเสมือนเพื่อนที่รู้ใจ พร้อมยืนอยู่เคียงข้างคุณ และทำทุกอย่างอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อให้ทุกช่วงชีวิตของลูกค้าเป็นไปอย่างมั่นคง”
กรรมการผู้จัดการใหญ่ไทยประกันชีวิต กล่าวด้วยว่า หัวใจสำคัญของการดูแลลูกค้าให้ดีก็คือ ต้องมีความเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ขณะเดียวกันก็ต้องไม่หยุดที่จะบุกเบิก คิดค้น หาคำตอบใหม่ๆในเรื่องการประกันชีวิตเพื่อตอบสนองในทุกสถานการณ์ในแต่ละช่วงชีวิตที่เปลี่ยนไป ภายใต้เป้าหมายให้บริษัทไทยประกันชีวิต ซึ่งขณะนี้มีอายุ 72 ปีแล้ว ให้มีอายุยืนยาวไปจนถึง 100 ปีให้ได้
สำหรับวิสัยทัศน์ใหม่ บริษัทจะมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับคนเป็นหลัก โดยให้ความสำคัญทั้งคนภายใน และผู้คนในสังคมด้วยการพัฒนา และผลักดันให้บุคลากร สำนักงานใหญ่ และสาขา ให้เป็นมากกว่าพนักงานบริษัทประกันชีวิต แต่ต้องคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก รวมถึงให้ความสำคัญกับการทำความดีด้วยการส่งเสริมให้บุคลากรมุ่งทำประโยชน์เพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง “นับจากนี้ไป ไทยประกันชีวิตจะต้องเป็นองค์กรที่อยู่เคียงข้างสังคมไทย และยืนอยู่ได้อย่างมั่นคงยั่งยืน ผลของการทำธุรกิจไม่ได้หวังให้เกิดกำไรสูงสุด แต่ธุรกิจหรือองค์กรของเราต้องรู้จักเท่าทันกระแสโลก แต่ไม่ใช่ไหลบ่าตามกระแสไป”
บุคลากรฝ่ายขาย ต้องพัฒนาจากการเป็น Life Planner คือ ผู้วางแผนดูแลชีวิต สู่การเป็น Life Partner เสมือนเป็นคู่ชีวิต เป็นเพื่อนคู่คิดในทุกสถานการณ์ สำหรับผู้เอาประกันหรือคนในสังคมด้วยการเป็นคนเก่ง เป็นผู้รอบรู้ และรู้รอบ เพื่อเป็นผู้ตอบคำถามในทุกคำตอบให้แก่การประกันชีวิต ขณะเดียวกันต้องเป็นคนดี มีคุณธรรม จริยธรรม มโนธรรม และผู้ให้ บุคลากรของไทยประกันชีวิตจึงต้องเรียนรู้ และไม่หยุดคิดค้น เพื่อให้ทันทุกสถานการณ์ และสามารถเติมเต็มความมั่นคงให้กับลูกค้าและสังคมได้
สำหรับโลโก้ใหม่ “ไทยประกันชีวิต” จะมีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อให้ผู้คนจดจำได้ง่าย พร้อมปรับลดโทนสีจากสีน้ำเงินเข้ม เป็น สีเซลูเลียน บลู หรือสีฟ้าน้ำทะเล เพื่อให้แบรนด์ดูทันสมัย มีชีวิตชีวา มีความเป็นมิตร และเพิ่มพลังแห่งความคิดสู่เป้าหมายเดียวกันภายใต้รูปทรงโลโก้ของสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ซึ่งแสดงถึงการพุ่งไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่นอย่างมีทิศทาง พร้อมที่เดินเคียงคู่ทุกชีวิตสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนในอนาคต
ทิศทางการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ จึงต้องสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ใหม่ และการรีแบรนด์ตราสัญลักษณ์ใหม่ด้วย และสำหรับการรองรับการแข่งขันที่รุนแรงในปัจจุบัน บริษัทจึงต้องมีนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องทบทวนแผนหรือรูปแบบการประกันชีวิตใหม่ หากแบบประกันใดไม่ตรงตามความต้องการของลูกค้า ก็ต้องปรับเปลี่ยน รวมถึงปรับปรุงเงื่อนไขต่างๆให้สอดรับกับสภาพแวดล้อมต่างๆด้วย
นายไชยเปิดเผยด้วยว่า ขณะนี้ไทยประกันชีวิตได้พันธมิตรใหม่อย่าง เมจิ ยาซึดะ ไลฟ์ อินชัวรันส์ จำกัด บริษัทประกันชีวิตใหญ่อันดับ 2 ของญี่ปุ่น ซึ่งจะเข้ามาถือหุ้นในไทยประกันชีวิตเป็นสัดส่วน 15% เพื่อเข้ามาดูแลงานด้านการบริหารความเสี่ยง “ญี่ปุ่นมีประสบการณ์เรื่องนี้ดีเพราะเคยประสบปัญหาเรื่องเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่มาแล้ว และบริษัทประกันในญี่ปุ่นก็ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมา เราอยากได้ความรู้ในเรื่องการบริหารความเสี่ยงต่างๆที่เป็นหัวใจสำคัญของการประกันชีวิต”
ที่สำคัญ ญี่ปุ่นได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ดังนั้นจึงต้องการให้พันธมิตรแนะนำลูกค้ารายบุคคลให้กับไทยประกันชีวิตด้วย ขณะที่การลงทุนในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เป็นจำนวนมากของญี่ปุ่น จะต่อยอดให้ไทยประกันชีวิตดำเนินธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้านใน AEC ได้ดีกว่าไปทำธุรกิจเอง และพันธมิตรเองก็จะได้ประโยชน์จากฐานลูกค้าในกลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน
“หลังจากปรับองค์กรและรีแบรนด์แล้ว สิ่งที่ผมอยากเห็นคือ การเป็นบริษัทประกันชีวิตที่อยู่ในหัวใจคนไทยเสมอ และเป็นเบอร์ 1 ในทุกๆโอกาสที่เราต่างก็มีความรักให้แก่กัน และเห็นคุณค่าของชีวิตกันและกัน แน่นอนว่า มันไม่ใช่เรื่องของการต้องมีส่วนแบ่งในตลาดสูงสุด หรือมีกำไรสูงสุด” นายไชย กล่าวทิ้งท้าย.

By
http://www.thailifeclub.com
http://cyber.thailife.com/01253940

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557

บทเรียนจากนกอินทรี

   นกอินทรีเป็นสัตว์ที่ถูกสร้างโดยพระเจ้า เป็นนกที่สง่างามเหนือบรรดานกทั้งหลาย โดยทั่วไปแล้วนกอินทรีที่โตเต็มที่สูงถึง 90 เซนติเมตร และเมื่อกางปีกอาจจะยาวถึง 2 เมตรเลยทีเดียว มันจะสร้างรังอยู่ที่หน้าผาหรือต้นไม้สูง รังของมันจะใหญ่มากขนาดที่มนุษย์สามารถเข้าไปนอนหลับอย่างสบายได้เลย โดยรังของมันอาจมีน้ำหนักถึง 700 กิโลกรัม นกอินทรีเป็นนกที่มีชีวิตยืนยาวที่สุดในบรรดาสัตว์ปีก มันสามารถมีชีวิตได้นานถึง 70 ปี แต่ก่อนที่จะอยู่ได้นานถึงปานนั้นได้ นกอินทรีจะต้องมีการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของมัน เมื่ออายุได้ 40ปี ตอนนั้นกรงเล็บของมันที่แข็งแกร่ง และยืดหยุ่นของมันจะไม่สามารถจับสัตว์เป็นอาหารได้อีก ทำให้ร่างกายของมันอ่อนแอเกินกว่าจะบินขึ้น และหาอาหารอย่างเข้มแข็งได้อีก ส่วนจะงอยปากที่แหลมคมเริ่มโค้งงอ กรงเล็บเริ่มใช้การไม่ค่อยได้ ปีกที่หนาและหนัก ขนที่ยาวรุงรังจะไปรวมที่อกของมัน ทำให้มันบินได้ลำบากมากขึ้น และเมื่อนั้นมันมีทางออกอยู่ 2 ทางคือ 1.ตายไปซะ 2.จะตัดสินใจที่จะอยู่ต่อไป แต่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดอย่างสุด ๆ กับขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงชีวิต ซึ่งจะเป็นระยะเวลายาวนานถึง 150 วัน

ขั้นตอนที่มันตัดสินใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป มันจะบินต่อไปบนยอดภูเขาสูงและอยู่ที่รังของมัน มันจะต้องใช้จะงอยปากของมันที่โค้งทื่อจิกเตะกับก้อนหิน และกรงเล็บกระแทกไปที่ก้อนหินด้วย ครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งจะงอยปากมีเลือดไหล และหลุดออกมา หลังจากนั้นมันจะรอให้จะงอยปากอันใหม่งอกขึ้นมา ทีนี้ถึงคราวของกรงเล็บก็จะงอกขึ้นมาใหม่ต่อจากจะงอยปาก หลังจากนั้นมันจะเริ่มใช้จะงอยปากใหม่จิกถอนขนที่ดกหนาออกทิ้งเสีย เป็นการผลัดขนใหม่ทั้งหมด หลังจากนั้น 150 วันผ่านไป ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงก็จะเสร็จสมบูรณ์ นกอินทรีก็จะบินสูงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง พร้อมกับร้องเสียงดังก้องสะท้านฟ้า คล้ายดังเป็นการประกาศก้องว่า ข้ากำเนิดใหม่แล้ว และจะมีชีวิตที่ยืนยาวและเข็มแข็งอีกต่อไปได้

พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้เปรียบเทียบชีวิตของมนุษย์เรา ยามเมื่ออ่อนเปลี้ย ท้อแท้ หมดหวัง กับการดำเนินชีวิตในโลกนี้ว่า "พระเจ้าทรงประทานกำลังแก่คนที่อ่อนเปลี้ย และแก่ผู้ไม่มีกำลัง พระองค์ทรงเพิ่มแรง แม้คนหนุ่ม ๆ จะอ่อนเปลี้ย และเหน็ดเหนื่อย และชายฉกรรจ์จะล้มลงทีเดียว แต่เขาทั้งหลายผู้รอคอย พระเจ้าจะเสริมเรี่ยวแรงใหม่ เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี เขาจะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย เขาจะเดินและไม่อ่อนเปลี้ย" บทเรียนจากนกอินทรี ทำให้เราเรียนรู้ว่า
1.เมื่อเราอยู่ในภาวะอ่อนแอเกินกว่าที่จะต่อสู้กับปัญหาใด ๆ ได้ อย่าเพิ่งหมดหวัง ท้อแท้ สิ้นหวัง หรือเก็บความขมขื่นไว้ พระเจ้าทรงเตรียมขบวนการเปลี่ยนแปลงเพื่อเราจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ไว้ให้กับเราแล้ว

2.จงเปลี่ยนจะงอยปากและกรงเล็บเสียใหม่ สำหรับนกอินทรีจะงอยปากและกรงเล็บเป็นอาวุธและเครื่องมือในการหาเหยื่อ และกินเหยื่อ นั่นหมายความว่า มันตอบสนองความต้องการของตัวมันเอง หากเปรียบจะงอยปากและกรงเล็บของนกอินทรีกับตัวเรา ก็คงเป็นเหมือนความต้องการของตัณหา ความอยากของเราที่ไม่ดีไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า มีแล้วอาจจะทำให้เราเสียคนในอนาคตได้ เพราะพระเจ้าทรงรู้ล่วงหน้าสำหรับอนาคตของทุกคน คำว่าตัณหา ตามความเข้าใจของคริสเตียนแล้วเป็นเนื้อหนัง ที่พระคำของพระเจ้าได้กล่าวไว้ว่า "การงานของเนื้อหนังนั้นเห็นได้ชัดคือ การล่วงประเวณี การโสโครก การลามก การถือวิทยาคม การเป็นศัตรูกัน การริษยากัน การเมาเหล้าและการเล่นเป็นพาลเกเร" ถ้าหากเราเต็มใจจะถอดจะงอยและกรงเล็บเสีย ชีวิตของเราก็เปลี่ยนใหม่ จะวิ่งอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย และจะเดินอย่างไม่อ่อนเปลี้ย

3.ผลัดขนใหม่ทั้งหมด สำหรับนกอินทรี ขนที่ดกหนาที่หน้าอกทำให้มันเหนื่อยแรงเป็นภาระ เป็นตัวถ่วง และกินแรงในการบิน ทำให้มันอ่อนแอ ไม่ว่องไวเหมือนเดิมในการล่าเหยื่อ และการดำรงชีวิตอยู่ คุณผู้ฟังคะหากเราไม่ต้องการที่จะอ่อนแอเกินกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ได้ เราต้องยอมถอดสิ่งที่เป็นตัวถ่วงออกไปจากชีวิตของเราเสีย เหมือนถอดเสื้อผ้า อะไรบ้างที่เราต้องถอด พระคริสตธรรมคัมภีร์กล่าวไว้เช่นนี้ "แต่บัดนี้สิ่งสารพัดเหล่านี้ท่านจงเปลื้องทิ้งเสีย คือ ความโกรธ ความขัดเคือง การคิดปองร้าย การพูดใส่ร้าย คำพูดหยาบโลน อย่าพูดมุสาต่อกัน เพราะว่าท่านได้ปลดวิสัยมนุษย์เก่ากับการปฏิบัติของมนุษย์นั้นเสียแล้ว และได้สวมวิสัยมนุษย์ใหม่ที่กำลังสร้างขึ้นใหม่ ตามพระฉายของพระองค์ผู้ทรงสร้างให้รู้จักกับพระองค์"

By
http://www.thailifeclub.com
http://cyber.thailife.com/01253940

ชีวิต..กับ..การเลี้ยงลูกแบบ..นกอินทรี

        หลายคนคงรู้จักและได้ยินชื่อ..นกอินทรี...นกขนาดใหญ่..ที่มีสายตาที่เฉียบคม..มองได้ไกล..เหมือนกล้องสอ่งทางไกล..แม้บินอยู่บนที่สูง..ก็มองเห็นเหยื่อตัวเล็กๆ..บนพื้นล่างได้ และบินโฉบลงมาจับกินได้อย่างง่ายดาย..และรวดเร็ว ในนิทานเราก็เคยได้ยิน นกบินลงมาจับทารกน้อยไป..

       หลายประเทศใหญ่ๆ..มักใช้นกอินทรี..เป็นสัญลักษณ์..อินทรีย์..แปลว่า..ใหญ่..นกอินทรีก็คือนกขนาดใหญ่...ร่างกายของเรา..มี อินทรีย์ ๖ อยู่ในร่างกาย ซึ่งเป็นใหญ่เฉพาะด้าน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้ง ๖ อย่างต่างเป็นใหญ่ในแต่ละด้าน ตา เป็นใหญ่ ทางการมองเห็น , หูเป็นใหญ่..ทางการได้ยิน...เรียงลำดับไปอย่างนี้

นกอินทรี..มีวิธีการเลี้ยงลูก..ที่แปลก..และน่านำมาประยุกต์ใช้กับการเลี้ยงลูกได้

ก่อนวางไข่...แม่นกพ่อนก..จะช่วยกันสร้างรัง..บนชะง่อนผาที่สูงชัน..ยากที่จะสิ่งรบกวนได้ ปลอดภัยจากสัตว์ร้ายอื่นๆ รวมทั้งมนุษย์ด้วย

ชั้นที่ ๑ จะเป็นก้อนหิน ก้อนใหญ่ๆ วางล้อมกรอบเป็นวงขนาดพอตัว

ชั้นที่ ๒ จะเป็นท่อนไม้ท่อนโตๆ วางไขว้กันไปมา..ให้แข็งแรง

ชั้นที่ ๓ จะเป็นหนามขนาดใหญ่..วางพลาดระหว่าง.ท่อนไม้ ซ้อนไปมา

ชั้นที่ ๔ จะเป็นใบไม้วางหนาๆ..เพื่อป้องกันหนามที่แหลมคม และเป็นพื้นนอนได้

ชั้นที่ ๕ แม่นกจะจิกขนอ่อนที่อกของตน..เพื่อให้เกิดที่นอนนุ่นๆสำหรับลูกอ่อน

พอสร้างรังครบทั้ง ๕ ขั้นตอนแล้ว..แม่นกอินทรี ก็ได้เวลาวางไข่ ราวๆ ๓-๕ ฟอง และกกไข่เป็นเวลาพอสมควร..จนไข่ฟักออกมาเป็น..ลูกนกอินทรี..ตัวเล็กๆ..เสียงเจื้อยแจ้ว..น่ารักๆ

พ่อนก..แม่นก..ช่วยกันหาอาหารมาป้อนลูกน้อย..จนเติบโต..พอที่จะช่วยตัวเเองได้บ้างแล้ว



ขั้นตอนสำคัญ..ของการฝึกลูกนกอินทรี..ก็มาถึง..

ขั้นที่ ๑ แม่นกเริ่มจิกเอาขนนุ่มๆ..ออกจากรัง..ลูกๆเริ่มลำบาก..นอนไม่สบายเหมือนเดิม แรกๆก็ร้องลั่น..งอแง..แต่แม่นกก็อดทน..จนลูกเริ่มปรับตัวได้

ขั้นที่ ๒ เอาใบไม้ออกจากรังจนหมด...คราวนี้แย่แล้ว...เหลือแต่หนาม..ลูกนกจะนอนได้อย่างไร..ต้องพยายาม..นอนบนหนามให้ได้..จนต่อมา..ลูกนกเริ่มสนุก..กับการนอนบนหนาม..พลิกซ้าย ขวา ก็ต้องโดนหนามทิ่ม..ต้องมีสติเสมอ

ขั้นที่ ๓ เอาหนามออก..คราวนี้ ก้ามเนื้อขา ของลูกนกเริ่มแข็งแรง สามารถเกาะกิ่งไม้ หลับนกได้..สบายๆ แม่นกฝึกจนลูกๆ แข็งแรง เกาะกิ่งไม้ได้อย่างมั่นคงปลอดภัย

ขั้นที่ ๔ เอากิ่งไม้ออก..เหลือเฉพาะรากฐานที่เป็นก้อนหิน..คราวนี้..นอนบนกองหินได้.พื้นแข็งๆ..ลำบาก ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดอีกแล้ว จนลูกนกอดทนได้..ลูกทุกตัวมีความพร้อมที่จะฝึกบินได้แล้ว

ขั้นที่ ๕ ฝึกบิน....คราวนี้ สนุกครับ

....พอแค่นี้ก่อนครับ..พักสักครู่..จะมาเล่าต่อ ตอนที่นกอินทรี ฝึกลูกนกให้บิน สนุกมากๆ ไม่น่าเชื่อว่า แม้แต่นก ยังสมารถฝึกลูกนกได้ดีขนาดนี้..โปรดติดตามครับ

เล่าต่อครับ..ได้เวลาที่นกอินทรี ฝึกลูกให้บิน แม่นก จะคาบลูกนก ทีละตัว บินขึ้นไปบนอากาศ ....ท้องฟ้าที่เวิ้งว้าง...ลมเย็นๆ..ลูกนกได้เห็นมุมมองของโลกอีกมุมหนึ่ง..ที่กว้างไกล บินไปทั่วๆรอบบริเวณ อาณาจักร ของนก แล้วนำกลับมาที่รัง ผลัดเปลี่ยนลูกนกตัวอื่นๆ เวียนจนครบทุกตัว

วันต่อๆมา คราวนี้ไม่คาบแล้ว....แม่นกแหย่ปีกลงไปที่รัง...ลูกนกตะกายขึ้นมาบนปีกของแม่....แล้วแม่นก..ก็พาบินขึ้นสู่ท้องฟ้า...คราวนี้ลูกนก..เหมือนนั่งเตรื่องบินจัมโบ้...ว๊าว...สนุกอะไรแบบนี้...ตาของลูกนกจ้องไปที่ข้างหน้า ดูโลกอันงดงามเบื้องหน้า...วิเศษ.จริงๆแม่...ลูกนกยิ้มอย่างอารมณ์ดี...เอาอีก...เอาอีก...ลูกนกร้องขอ...พอแล้วลูก...ว่าแล้วแม่นกก็...พาลูกนก..กลับมาคืนรัง พาลูกตัวอื่นๆขึ้นไปบ้าง.....โอ้โห...เล่ามาถึงตรงนี้....ชีวิต..ที่แม่นกอินทรีฝึกลูกนกให้บิน..มันสนุกอย่างนี้นี่เอง

ลูกนก...ตื่นเต้นดีใจ..รอคอยเมื่อไหร่ แม่จะกางปีกพาบินอีกบ้าง....

ขั้นตอนสำคัญ

คราวนี้...แม่นก..พาบินทีละตัว...แม่นกบินโบกไปมาอย่างรวดเร็ว...เดี๋ยวขึ้น..เดี๋ยวลง...นึกถึงเครื่อง F 16 ที่บินโฉบ...อย่างรวดเร็ว...อะไรแบบนั้น

แม่นกพาบินขึ้นสูง...สูงขึ้น.จนสุดแรง...จนลูกนก..ใจหวิว..ว่าแล้วไม่ทันตั้งตัว...แม่นกสลัดปีกอย่างแรง...ลูกนกตัวน้อย..ลอยคว้างกลางอากาศ.....ลอยละลิ่วตกลงมา...อย่างรวดเร็ว...

ลูกนกตกใจ...ร้องลั่น...พรางขยับปีกไปมา...เพื่อประคองตัวเอง...แต่ร่างของลูกน้อย..ล่วงหล่นลงพื้นอย่างเร็ว...มิทันขยับปีก...แม่นกบินโฉบ..ลงมารับลูก..ก่อนถึงพื้น..ได้อย่างแม่นยำ..ไม่มีพลาด...ใจหายใจคว่ำ...พาลูกนกกลับมารังอย่างปลอดภัย...

แล้วแม่...ก็ฝึกลูกๆ...แบบนี้ทุกตัว...จนลูก..กางปีก..ร่อนกลางอากาศได้....จนกระทั่งลูกนก...บินไปพร้อมๆแม่ได้....

เล่ามาถึงตรงนี้....ชื่นชม..และอดภูมิใจกับลูกนกไม่ได้..ที่มีพ่อแม่..เลี้ยงลูก...อบรมลูก..ฝึกลูก..ได้เป็นขั้นเป็นตอน..ได้ดีถึงเพียงนี้...จนลูกนก..เติบใหญ่ ปีกกล้า..ขาแข็ง...อย่างที่เราๆเรียกกัน...หากินเองได้

แล้วลูกคนล่ะ...เราทำได้ดีถึงเสี้ยวหนึ่ง..ของนกอินทรี..ฝึกลูกหรือไม่...


By
: http://www.thailifeclub.com
: http://cyber.thailife.com/01253940

วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ร่วมงานเลี้ยงขอบคุณลูกค้า “คอนเสิร์ตเด็ด 72 ปี ไทยประกันชีวิต”

ร่วมงานเลี้ยง
วันที่ 10 มิถุนายน 2557

นายวิทยา ผิวผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา รับมอบของที่ระลึกจากนายไชย ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ในโอกาสที่ให้เกียรติร่วมงานเลี้ยงขอบคุณลูกค้า “คอนเสิร์ตเด็ด 72 ปี ไทยประกันชีวิต” โดยมีคณะผู้บริหารระดับสูงของบริษัทฯ ร่วมให้การต้อนรับ ณ โรงแรมวรบุรี จ.พระนครศรีอยุธยา

โดย ตัวแทนไทยประกันชีวิต

วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เป็นผู้ประกอบการณ์ Start up เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนแนวคิด

เป็นผู้ประกอบการณ์ Start up เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนแนวคิด
ตั้งแต่ตัดสินใจทิ้งหน้าที่การงานที่มีความมั่นคงและอนาคตที่ดี มาเริ่มนับศูนย์ ในฐานะของผู้ประกอบการณ์รุ่นใหม่ก่อตั้งบริษัทที่โดยที่ไม่มีประสบการณ์ในการบริหารจัดการองค์กร จนวันนี้สามารถนำพาบริษัทร่วมกับหุ้นส่วนอีกสองท่านผ่านมาแล้ว เข้าสู่ปีที่ 4 จาก 3 คนผู้ก่อตั้งสู่บริษัท SME ทีมงานรวม 25 ชีวิต ถือเป็นบริษัทคนรุ่นใหม่จริงๆ Office GenY ครับเพราะอายุสูงสุดประมาณ 32 ปีเท่านั้น
นอกจากบริษัท ที่กล่าวถึงแล้วผมยังเริ่มต้นทำบริษัทและธุรกิจเล็กๆ อีก สอง อย่างและก็ไปได้สวยทั้งคู่ ด้วยความตั้งใจและโอกาสที่มองเห็นจับพลัดจับผลูมาได้ทำ และผมพยายามผลักดันเพื่อนที่มีความสามารถหลายคนที่ผมเชื่อครับว่าสามารถออกมาเป็นผู้ประกอบการในสายงานที่ตนถนัดได้ เพราะถือว่ามีทางเดินที่แข็งแรงที่ต่อยอดได้จากประสบการณ์ที่สั่งสมมาในสายงาน บันใดขั้นต่อไปที่ต้องเรียนรู้คือเรื่องของการบริหารจัดการและเรียนรู้ศาสตร์ของการทำธุรกิจ ซึ่งถ้าคิดแค่ว่า “ธุรกิจคือการ จับ Demand ให้เจอกับ Supply” มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก เราก็หาวิธีของเราเพื่อให้ของที่เราต้องการขาย เจอคนที่ต้องการซื้อ รายละเอียดวิธีการมีวิธีทางเป็นร้อยแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน การจับความถนัด และความชอบมาเป็นธุรกิจผมมองว่าเป็นทางลัดในการประสบความสำเร็จ
แต่อุปสรรคของการเริ่มต้นมาเป็นผู้ประกอบการณ์ อุปสรรค์หลักๆ ก็คือ แนวคิดครับ เป็นเรื่องปกติที่ มนุษย์ กลัวสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น กลัวสิ่งที่ไม่แน่นอน กลัวสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น กลัวการเปลี่ยนแปลง คำว่ากลัว ส่งผลให้เกิดสิ่งที่น่ากลัวกว่าคือ ความคิดที่คิดว่า “เป็นไปไม่ได้” พอเกิดความคิดที่ว่าเป็นไปไม่ได้โอกาสที่จะเป็นไปได้เลยลดน้อยจนอาจจะกลายเป็น ศูนย์ ซึ่งมีเขียนอยู่ในหนังสือจิตวิทยาในการพัฒนาตนเองทั่วๆ ไปที่ชอบบอกว่า ความคิดที่เป็นบวก และความคิดที่เราคิดจะเป็นแรงดึงดูดสิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้นจริงและเป็นจริง เกิดขึ้นจริง มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความคิดนั้นมีพลังมากน้อยแค่ไหน
พลังของความคิดเป็นสิ่งสำคัญ การเริ่มต้นผู้ประกอบการณ์สิ่งแรกที่ต้องปรับเปลี่ยนคือทัศนคติที่มองในแง่บวกถึงความเป็นไปได้ และลงมือทำให้เป็นไปได้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ ขจัดความคิดที่เป็นอุปสรรคออกไป เริ่มทำธุรกิจถ้ามีความคิดว่าไม่เอาแล้วตั้งแต่เริ่ม ก็น่าวิตกแล้ว พอเริ่มทำธุรกิจทัศนคติสำคัญ พยายามขจัดความคิดที่เป็นอุปสรรคในการทำงานออกไป แล้วคิดหาทาง แก้ไขทุกปัญหามีทางออก เพราะเมื่อคิดว่าทำไม่ได้ ไม่อยากทำ ไม่เอาแล้ว คุณก็เริ่มทรยศกับเป้าหมายของตัวเองแล้ว แล้วจะถึงเป้าหมายได้อย่างไร
ถ้าเจอกับงานที่ยาก จงคิดว่าถ้างานมันสามารถทำได้ง่ายๆ ก็ไม่คงไม่มาถึงเรา สร้างทัศนคติที่ดี ลบทัศนคติที่เป็นอุปสรรค แล้วเริ่มลงมือทำ…. โชคดีจะเป็นของเรา
ขอบคุณข้อมูลจาก: http://www.digithun.com/

โดย ตัวแทนไทยประกันชีวิต

วันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ไทยประกันชีวิต บวชพระทั่วไทย


บวชพระทั่วไทยวันที่ 2 พฤษภาคม 2557
นายไชย ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เป็นประธานในพิธีอุปสมบทพระโครงการ “บวชพระทั่วไทย ฉลองชัย 72 ปี” ในวาระที่บริษัทฯ ดำเนินกิจการครบ 72 ปี อันเป็นการส่งเสริมการทำความดี รวมถึงจรรโลงพระพุทธศาสนา และสืบทอดประเพณีอันดีงาม ณ วัดวังตะกู จ.นครปฐม

     ผู้ที่สนใจเข้าร่วมอุปสมบท ติดต่อสอบถามได้ที่ 087-555-1554 ผู้จัดการภาคอาวุโส ธิติวัฒน์ วัฒนพลไพศาล งานนี้ ฟรี ไม่มีค้าใช้จ่าย
โดย ตัวแทนไทยประกันชีวิต

ไทยประกันชีวิต คืนกำไรลูกค้า


คืนกำไรลูกค้าวันที่ 2 พฤษภาคม 2557
นายไชย ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เป็นประธานเปิดงาน “คอนเสิร์ตเด็ด 72 ปีไทยประกันชีวิต” พร้อมมอบกรมธรรม์มงคลและของที่ระลึกแก่ลูกค้าที่ทำประกันชีวิตด้วยทุนประกันตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป (ตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนด) เพื่อมอบความสุขและคืนกำไรแก่ลูกค้า ณ ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมฯ ม.ศิลปากร จ.นครปฐม

วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2557

มีใครอยากได้บ้างไหม

 
อาจารย์คนนึง เริ่มการสนทนาในชั้นเรียนด้วยการควักธนบัตรใบละ 1,000 บาท ..
ออกมาให้นักศึกษาดู แล้วถามว่า "มีใครอยากได้บ้างไหม" ทุกคนรีบยกมือ

อาจารย์ขยำธนบัตรนั้น "จบยับยู้ยี่" .. แล้วถามอีกครั้งว่า "มีใครยังอยากได้ธนบัตรใบนี้อีกหรือไม่" .. ทุกคนยังยกมือขึ้นเหมือนเดิม ..

อาจารย์ถามต่ออีกว่า "ถ้าสมมุติว่า ธนบัตรใบนี้ถูกทิ้งอยู่บนพื้น แล้วมีคนมาเหยียบย่ำจนสกปรก ยังจะมีใครอยากได้อีกหรือไม่" .. นักศึกษาทุกคน ก็ตอบว่ายังอยากได้ .....

อาจารย์จึงกล่าวสรุปว่า ..

"นั้นคือสิ่งมีค่า" ที่พวกเธอได้เรียนรู้ในวันนี้! .. ไม่ว่าจะเธอจะทำอะไรกับธนบัตรใบนี้ มันก็ยังคงจะมีราคา 1,000 บาท อยู่เสมอ .. ชีวิตคนเราก็เช่นเดียวกัน

บางครั้ง เราอาจจะถูกทอดทิ้ง ถูกใครต่อใคร ซ้ำเติม, เหยีบย่ำ, ถูกขยี้, ยับเยิน, ..
เพราะความผิดพลาดในการก้าวเดินของชีวิต จนทำให้เกิดความรู้สึกว่าตนเอง "ไร้ค่า"

แต่ รู้มั้ย?.. ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอก็ยังมี "คุณค่าของความเป็นคน" ..
ไม่ว่าเธอจะสะอาดเอี่ยม หรือว่า ยับยู้ยี่ .. "ตัวเราก็ยังมีค่าที่สุดเสมอ" จำไว้

วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2557

ไทยประกันฯรีแบรนด์ ปรับโลโก้ชูสโลแกน"คิด-เคียงข้าง-ทุกชีวิต”

   ไทยประกันชีวิตปรับรูปลักษณ์โลโก้ใหม่ เน้น "ไทยประกัน” ใหญ่ขึ้น เชื่อง่ายต่อการจดจำ พร้อมเปลี่ยนสโลแกนเป็น "คิด เคียงข้าง ทุกชีวิต” ล่าสุดเปิดเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ “Unsung Hero”

    นายไชย ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2557 บริษัทได้ปรับเปลี่ยนค่านิยม พันธกิจ และวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจใหม่ โดยปรับทิศทางของแบรนด์ เพื่อก้าวสู่การเป็นแบรนด์ที่มุ่งมั่นที่จะบุกเบิกธุรกิจประกันชีวิต ด้วยศักยภาพทางความคิด ที่พร้อมตอบสนองทุกสถานการณ์ของทุกชีวิต รวมถึงปรับรูปลักษณ์โลโก้ใหม่ ให้ตอบโจทย์ทิศทางของแบรนด์
    สำหรับโลโก้ใหม่ จะออกแบบและจัดวางอักษรคำว่า “ไทยประกัน” ให้มีขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นคำที่คนทั่วไปมักนิยมใช้เรียกชื่อบริษัทเพื่อสร้างการจดจำได้ง่าย พร้อมเสริมความแข็งแกร่งด้วยเส้นสีแดง รวมถึงปรับลดโทนสีจากสีน้ำเงินเข้ม เป็นสีเซลูเลียน บลู (Cerulean Blue) ซึ่งจะทำให้แบรนด์ดูทันสมัย มีชีวิตชีวา มีความเป็นมิตร เพิ่มพลังแห่งความคิดสู่เป้าหมายเดียวกัน พร้อมปรับรูปทรงโลโก้ จากสี่เหลี่ยมจัตุรัสและสี่เหลี่ยมผืนผ้า เป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ซึ่งแสดงถึงการพุ่งไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่นอย่างมีทิศทาง พร้อมที่จะเดินเคียงคู่ทุกชีวิต สู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนในอนาคต
    “ไทยประกันชีวิตยังได้ปรับเปลี่ยนสโลแกนของบริษัทเป็น “คิด เคียงข้าง ทุกชีวิต” เพื่อสะท้อนการเป็นเพื่อนคู่คิดที่น่าไว้วางใจ สามารถฝากชีวิตและอนาคตได้ ซึ่งบริษัทมุ่งผลักดันให้บุคลากร โดยเฉพาะตัวแทนต้องเป็นมากกว่าตัวแทนประกันชีวิต ด้วยการเป็น Life Partner หรือหุ้นส่วนชีวิต ที่สามารถวางแผนการดูแลเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับผู้เอาประกัน ในทุกช่วงของชีวิตและทุกสถานการณ์” นายไชยกล่าว
    ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ “Unsung Hero” ซึ่งเป็นภาพยนตร์โฆษณาเพื่อสร้างภาพลักษณ์ โดยเนื้อหาของภาพยนตร์โฆษณาเชิญชวนให้ทุกคนทำความดีได้โดยไม่มีเงื่อนไข ทำความดีได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่ต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่าควรทำหรือไม่ หรือทำแล้วจะได้อะไร โดยพร้อมออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง ตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2557 เป็นต้นไป.

By : http://xn--12cs5achancq3em6bj6jhj8cq0tkc.com/




"Unsung Hero" (Official HD) : TVC Thai Life Insurance 2014 : โฆษณาไทยประกันชีวิต 2557

วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2557

คอลัมน์ CSR Talk นำเสนอถึงความสำเร็จของโครงการ “หนึ่งคนให้...หลายคนรับ” กับไทยประกันชีวิต


คอลัมน์ CSR Talk นำเสนอถึงความสำเร็จของโครงการหนึ่งคนให้...หลายคนรับ กับไทยประกันชีวิต ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในการรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการบริจาคโลหิต อวัยวะ และสเต็มเซลล์ 
น.ส.ภาสินี ปรีชาธนาพล ผอ.ฝ่าย กลุ่มองค์กรสัมพันธ์ ไทยประกันชีวิต ระบุ บริษัทฯ เป็น บ.ประกันชีวิตที่ดำเนินนโยบายด้าน CSR อย่างต่อเนื่องกว่า 30 ปี และในปี 57 ไทยประกันชีวิตดำเนินธุรกิจครบ 72 ปี จึงได้มุ่งพัฒนากิจกรรมพิเศษเพื่อสร้างความรับผิดชอบต่อสังคม โดยยึดมั่นยุทธศาสตร์ด้านการให้ ซึ่งเป็นฐานใหญ่ในการดำเนินนโยบายด้าน CSR มุ่งเน้นการดูแลและช่วยเหลือชีวิต ซึ่งสอดคล้องกับแก่นในการดำเนินธุรกิจของไทยประกันชีวิต ที่ตระหนักถึงคุณค่าของทุกชีวิต โดยร่วมกับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ภายใต้โครงการหนึ่งคนให้...หลายคนรับ กับไทยประกันชีวิต รณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการบริจาคโลหิต อวัยวะ และสเต็มเซลล์ รวมถึงรับบริจาคโลหิตต่อเนื่องทุก 3 เดือน มาตั้งแต่ปี 32 ทั้งในสำนักงานใหญ่และสาขาทั่วประเทศ ทำให้จนถึงปัจจุบันบริษัทฯ สามารถรณรงค์บริจาคโลหิตได้แล้วกว่า16,000,000 ซี.ซี. 
ขณะเดียวกันมีการต่อยอดรณรงค์ จัดหาทุนจัดซื้อรถรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการดำเนินงานของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ในการรับบริจาคโลหิตตามสถานที่ต่างๆ อันเป็นการเพิ่มช่องทางในการจัดหาโลหิต ซึ่งปีนี้บริษัทฯ ได้ส่งมอบรถรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่หนึ่งคัน มูลค่า 7,000,000 บาท
นอกจากนี้ ร่วมกับศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย จัดกิจกรรม “หนึ่งคนให้...หลายคนรับ เริ่มต้นที่การให้” เพื่อสร้างความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการบริจาคอวัยวะให้แก่นิสิตหรือนักศึกษาแพทย์และพยาบาลในมหาวิทยาลัยต่างๆ ปัจจุบันสามารถอบรมนิสิต นักศึกษาแพทย์และพยาบาลรวมกว่า 3,000 คน และในจำนวนนี้มีผู้แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะรวมกว่า 1,700 คน ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากมีผู้สนใจเข้าร่วมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 
(ประชาชาติธุรกิจ 24-26 มี.ค./น.40)

cyber.thailife.com/01253940

ผู้บริหารไทยประกันชีวิต ร่วมเปิดตัวรอบกาล่าภาพยนตร์เรื่อง “คิดถึงวิทยา”

ผู้บริหารไทยประกันชีวิต ร่วมเปิดตัวรอบกาล่าภาพยนตร์เรื่อง “คิดถึงวิทยา”
ผู้บริหารไทยประกันชีวิต ร่วมเปิดตัวรอบกาล่าภาพยนตร์โรแมนติก คอมเมดี้ “คิดถึงวิทยา” ของผู้กำกับ “ต้น - นิธิวัฒน์ ธราธร” ที่อินฟินิซิตี้ ฮอลล์ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ 
(บ้านเมือง/น.19)

http://cyber.thailife.com/01253940/

คปภ. เผย ตัวแทนประกันสบช่องหุ้นตก ดอกเบี้ยต่ำ หลอกขายประกันออมทรัพย์ มีผู้เสียหายนับพันราย


คปภ. เผย ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนจำนวนมาก ว่าโดนตัวแทน บ.ประกันหลอกขายประกัน ออมทรัพย์ทางโทรศัพท์ โดยอ้างเป็นลูกค้าคนพิเศษที่ทางบัตรเครดิตเลือกให้ได้รับบริการพิเศษฝากเงินกับธนาคาร แต่ บ.ประกันดูแลให้ แต่เมื่อตกลงทำประกันเงื่อนไขต่างๆ ที่ตัวแทนแจ้ง กลับไม่มีการระบุ ลงใน กธ. หากไถ่ถอนก่อนก็ได้เงินคืนแค่ 70% ไม่ได้ครบทั้งจำนวนจะยกเลิก กธ.ก็ไม่ได้ เพราะหาก ไม่ทักท้วงใน 30 วัน ถือว่ายอมรับเงื่อนไข ไถ่ถอน กธ.ก่อน 5 ปี ก็ไม่ได้รับเงินคืน ขณะนี้มีผู้ร้องเรียนมา ที่ คปภ. นับพันราย 
แนะผู้ที่ถูกหลอกลวงร้องเรียนผ่าน คปภ. เพื่อจะได้ตรวจสอบ โดยจะใช้เทปการสนทนาระหว่างตัวแทนละลูกค้าเป็นหลักฐาน ซึ่ง คปภ.มีกฎให้ บ.ประกันต้องเก็บเทปบันทึกการขายไว้ ไม่น้อยกว่า 10 ปี หากพบคนขายเสนอขายไม่ตรงกับ กธ. ทาง บ.ประกันชีวิตต้องคืนเงินให้กับผู้ซื้อประกัน 
(โพสต์ ทูเดย์/น.A1)

วันพุธที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2557

อยากประหยัดภาษี ซื้อประกันชีวิตดีมั้ย วันนี้เรามาคุยเรื่องนี้กันครับ

อยากประหยัดภาษี...ซื้อประกันดีมั้ย



อีกหนึ่งคำถามยอดฮิตในช่วงส่งท้ายปลายปี

“อยากประหยัดภาษี ซื้อประกันชีวิตดีมั้ย” วันนี้เรามาคุยเรื่องนี้กันครับ

ก่อนจะคุยเรื่องซื้อดีมั้ย เราต้องมาทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่า ประกันชีวิตเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงทางการเงินกรณีเสียชีวิต (อาจรวมถึงทุพพลภาพ) ซึ่งเหมาะกับบุคคลซึ่งมีภาระทางการเงิน เป็นกำลังหลักในการดูแลรับผิดชอบเรื่องเงินๆ ทองๆ ของครอบครัว ซึ่งหากบุคคลดังกล่าวเป็นอะไรไป ก็จะส่งผลกระทบด้านการเงินต่อคนในครอบครัวที่อยู่ในความดูแล

พูดง่ายๆ คุณไม่ได้เลี้ยงดูใคร ถ้าตายเขาก็อยู่กันได้ หาเลี้ยงตัวเองกันได้ หนี้สินก็ไม่ได้ส่งต่อไปให้ใคร การทำประกันชีวิตก็อาจไม่ใช่เรื่องจำเป็นสักเท่าไหร่

ดังนั้น สำหรับคนที่มีภาระและความเสี่ยงทางการเงินกรณีเสียชีวิต ผมจะแนะนำให้ทำประกันชีวิตกันแทบทุกคน ส่วนจะซื้อมากซื้อน้อยนั้นแล้วแต่ภาระของแต่ละคน ซึ่งในกรณีดังกล่าว ผู้ทำประกันจะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีไปด้วยโดยปริยาย

นั่นคือ เบี้ยประกันชีวิตสามารถใช้เป็นค่าลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 100,000 บาท ตามเงื่อนไข ดังนี้

สำหรับการประกันชีวิตของผู้มีเงินได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง โดยส่วนแรกหักได้ 10,000 บาท ส่วนที่เกิน 10,000 บาท หักได้ไม่เกินเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย แต่ไม่เกิน 90,000 บาท ทั้งนี้ เฉพาะในกรณีที่กรมธรรม์ประกันชีวิตมีกำหนดเวลาตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป และการประกันชีวิตนั้นได้เอาประกันไว้กับผู้รับประกันภัยที่ประกอบกิจการประกันชีวิตในราชอาณาจักร (ที่มา : เว็บไซต์กรมสรรพากร)

แต่ถ้าเป็นการซื้อโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดหย่อนภาษี ผมมีคำถามเพื่อใช้เป็นแนวทางประกอบการตัดสินใจ ดังนี้ครับ

1. อัตราภาษีสูงสุดของคุณเป็นเท่าไหร่

ถ้าอัตราภาษีไม่ถึง 20 % ผมไม่ค่อยแนะนำครับ เพราะถ้าคุณไม่มีความเสี่ยงทางการเงินกรณีเสียชีวิต การซื้อประกันเพื่อหวังเงินลดหย่อนภาษี อาจเป็นการสร้างภาระที่เกินตัว หรือเกินอัตรารายได้จนเกินไป

คุณมีความสามารถส่งเบี้ยประกันได้ตามเงื่อนไขกรมธรรม์หรือไม่

ทั้งนี้เพราะการซื้อประกันชีวิตนั้น คุณจะต้องส่งเบี้ยต่อเนื่องหลายปี (ยกเว้น ประกันแบบ Single Premium) ซึ่งโดยปกติแล้วจะอยู่ในช่วง 5-20 ปี
บางกรมธรรม์ต้องส่งตลอดอายุกรมธรรม์เลยทีเดียว

ดังนั้นความรู้สึกอยากลดภาษีในบางปีที่มีรายได้สูง อันเนื่องมาจากโบนัสหรือคอมมิชชั่นเยอะในปีนั้น เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาให้ดี และตอบตัวเองให้ได้ว่า ปีหน้าจะมีเงินส่งเบี้ยประกันหรือเปล่า

มีคนจำนวนไม่น้อยละเลย คิดเอาว่าขอประหยัดภาษีปีนี้ก่อน ปีหน้าค่อยว่ากัน เพราะประกันนั้นไม่มีการริบหรือเรียกสิทธิประโยชน์คืน หากยกเลิกกรมธรรม์ ซึ่งต่างจากกองทุนรวม

วิธีคิดนี้ไม่น่าจะถูกต้องสักเท่าไหร่ครับ และถ้าลองคำนวณกันดีดีรับประกันได้เลยว่า คุณขาดทุนแน่นอน เพราะคุณจ่ายเพื่อความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น แถมยังไม่สามารถส่งต่อได้จนครบกำหนด อย่างนี้เสียมากกว่าได้นะครับ

คำถาม : แล้วถ้าไม่มีความเสี่ยง เสียภาษีก็แค่ 10% แต่มีเงินเหลือ อยากส่งประกันปีละ 100,000 ล่ะ มีอะไรมั้ย?

คำตอบ : ถ้าเหลือกินเหลือใช้ และส่งไหวทุกปี อันนี้ก็ต้องแล้วแต่พี่ครับ

ถ้ามองกันในเรื่องความเสี่ยง ผมมองว่ามีอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่ต้องการซื้อประกันเพื่อลดหย่อนภาษี นั่นคือ ประกันแบบบำนาญ ครับ

ประกันชีวิตแบบทั่วไป (ตลอดชีพ / ออมทรัพย์ / ระยะเวลา) กับประกันชีวิตแบบบำนาญ เป็นแบบประกันที่มีวัตถุประสงค์ต่างกัน ประกันชีวิตนั้นมุ่งเน้นจัดการความเสี่ยงทางการเงินกรณีเสียชีวิต (ตายแล้วคนข้างหลังเป็นอย่างไร) แต่ประกันแบบบำนาญนั้นมุ่งจัดการความเสี่ยงทางการเงิน กรณีรายได้หายไปหลังเกษียณ (ไม่ตายแล้วจะอยู่ยังไง ถ้าไม่มีเงิน)

ในมุมมองของผม คนแต่ละคนมีภาระทางการเงินไม่เหมือนกัน ดังนั้น ความเสี่ยงทางการเงินกรณีเสียชีวิต อาจไม่ได้มีกันทุกคน (ในแต่ละจังหวะเวลา) แต่ทุกคนมีความเสี่ยงเรื่องการไม่มีเงินใช้หลังเกษียณอย่างแน่นอน หากไม่มีการวางแผนเกษียณเอาไว้

ผมจึงมองว่า ประกันชีวิตแบบบำนาญจึงอาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่ให้สิทธิประโยชน์

ข้อเสียของประกันแบบดังกล่าวก็คือ สภาพคล่องของเงินซึ่งน่าจะละเลยไปได้ เพราะเราต้องการเก็บเงินไว้กินตอนแก่อยู่แล้ว อีกเรื่องคือ ต้นทุนหรือเบี้ยประกันที่สูงพอสมควร ดังนั้นผู้ซื้อประกันต้องพิจารณาตรงนี้ให้ดี อย่าห่วงอนาคตและงกภาษี จนลืมเงินใช้จ่ายกินอยู่ในปัจจุบัน

สำหรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีนั้น ประกันแบบบำนาญสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 200,000 บาท

แต่ต้องพิจารณาให้ดี เพราะสรรพากรท่านกำหนดไว้ว่า ต้องซื้อไม่เกิน 15% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อนำเงินที่ซื้อประกัน (เบี้ย) ไปรวมกับเงินที่สะสมเข้า (1) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (2) กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (3) เงินสะสมเข้ากองทุนสงเคราะห์ หรือ (4) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท

ให้ง่ายก็คือ ต้องพิจารณาเงินลดหย่อนด้านอื่นๆด้วย ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาจ่ายเบี้ยเพิ่ม 200,000 บาท แล้วหวังจะได้ลดหย่อนทั้งจำนวน

สำคัญที่สุด สำหรับการวางแผนทางการเงิน ก็คือ คุณเองต้องเป็นผู้เลือกและตัดสินใจด้วยตัวเอง อย่าให้ใครมาชี้นำ จนทำให้แผนการเงินของคุณขาดความสมดุล ทุ่มเงินไปกับอนาคต หรือสิทธิประโยชน์ที่อยู่ตรงหน้า จนมองข้ามภาพรวมทางการเงินของเราไปครับ

พบกันฉบับหน้าครับ

http://www.naewna.com/business/columnist

Iservice อีกหนึ่งบริการจากไทยประกันชีวิต


         บริการออนไลน์ที่เพิ่มความสะดวกสบายให้คุณยิ่งขึ้น โดยคุณสามารถสมัครใช้บริการต่าง ๆ ที่น่าสนใจของไทยประกันชีวิต ได้อย่างง่ายดายผ่านทางเว็บไซต์ไม่ว่าจะเป็น การดูข้อมูลกรมธรรม์ การเปลี่ยนแปลงที่อยู่ การขอใบแจ้งชำระเบี้ยประกัน การขอหนังสือรับรองการชำระเบี้ยประกันเพื่อลดหย่อนภาษี และบริการอื่นอีกมากมาย